"เป่าแก้ว" ความภูมิใจศูนย์ศิลปาชีพ สร้างรายได้ยั่งยืนเพื่อคนยากไร้



  เป่าแก้ว งานหัตถกรรมที่เกิดจากฝีมือ และความสามารถเฉพาะตัว สำหรับศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพ ได้เปิดสอนหัตถกรรม ในหลายแขนง และการเป่าแก้ว เป็นหนึ่งในงานหัตถกรรมที่มีการส่งเสริมและมีการเรียนการสอนในศูนย์ฯ และได้สร้างอาชีพให้กับผู้เรียนจนสร้างเนื้อ สร้างตัวกันมาแล้วหลายต่อหลายคน และหนึ่งในนั้น คือ ผลงานการเป่าแก้ว ของ “นายอุทร แสนมี”

       นายอุทร เล่าว่า เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ เดิมอาชีพทำนา แต่เนื่องจากในอดีต การทำนานั้น รายได้ไม่ดีไม่พอเลี้ยงครอบครัว พี่สาว ชวนให้มาเรียนฝึกอาชีพที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และได้เลือกเรียนเป่าแก้ว เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ไม่ยากนัก และไม่ต้องลงทุนสูง ที่สำคัญ ชิ้นงานที่ทำออกมาน่าจะขายได้ง่าย เพราะราคาไม่สูง จึงตัดสินใจเรียนเป่าแก้ว ซึ่งพอเรียนไปได้สักระยะหนึ่ง บังเอิญฝีมือไปเข้าตาอาจารย์ผู้สอน ได้เลื่อนชั้นเป็นช่างของศิลปาชีพ ทำชิ้นงานออกขายในนามของศูนย์

       หลังจากได้เป็นช่างอยู่ระยะหนึ่ง ได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยครูในฝึกอบรมให้กับผู้มาเรียนในรุ่นต่อๆไป และได้รับเชิญไปสอนตามโรงเรี่ยนต่างหลายแห่ง ปัจจุบันมีลูกศิษย์ที่เรียน และได้ไปประกอบอาชีพและมีรายได้ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งการเรียนเป่าแก้ว เป็นพรสวรรค์ของแต่ละคน เช่นเดียวกับงานศิลปหัตถกรรมอื่นๆ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียนและทำออกมาได้ดี บางคนก็ไม่อดทน เนื่องจากมันอยู่กับความร้อน ตลอดเวลา หลายคนก็จะท้อตรงนี้ ก็ทำไม่ได้ บางคนไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ พยายามทำก็ทำออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ตามทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจ และการฝึกฝน


       สำหรับผลงานของนายอุทร เป็นหนึ่งในงานหัตถกรรมที่ทางศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ เลือกมาเป็นสมาชิก และเปิดร้านโชว์สินค้าอยู่ภายในศูนย์ฯ โดยได้รับเลือกไปโชว์ภายในศูนย์แสดงสินค้าศิลปาชีพในต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย
     
       เนื่องจากรูปแบบงานเป่าแก้ว นายอุดร นั้นมีความโดดเด่น เรื่องการใช้แก้วสี ทำให้ชิ้นงานมีสีสันที่มาจากเนื้อแก้ว ไม่ใช่การแต่งเติมสีภายนอกเหมือนกับงานเป่าแก้ว ทั่วไป และฝีมือที่ละเอียด และสวยงาม อีกทั้งรูปแบบที่หลากหลาย และราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับงานเป่าแก้วในต่างประเทศ ทำให้งานเป่าแก้ว นายอุดร เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเมืองไทย


       นายอุทร เล่าว่า หลังจากได้เข้ามาฝึกอาชีพ และได้เรียนการเป่าแก้ว ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป เพราะจากการทำนา ซึ่งมีรายได้แค่พอกิน ไปวันๆ พอได้มาเรียนและทำงานตรงนี้ ทำให้มีรายได้ เพียงพอที่จะซื้อรถ ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง และเลี้ยงครอบครัวได้ รายได้ประมาณเดือนละ 20,000 บาท ส่วนช่องทางการขายสินค้า ปัจจุบัน ทำส่งให้กับร้านที่จตุจักร และมีร้าน 2 แห่งที่ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ และที่ตลาดก้นโคล้ง


       กลุ่มลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยว สินค้าจะขายดีมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะนิยมซื้อไปเป็นของขวัญของฝาก รวมถึง วันแม่ วันพ่อ มีสินค้าที่ออกแบบมาต้อนรับเทศกาลด้วย ซึ่งในวันแม่ปีนี้ มีการออกแบบเป็นรูปหงส์คู่ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าซื้อไปเป็นของขวัญวันแม่กันด้วย


       ส่วนรูปแบบบางส่วนเป็นแบบที่เรียนมาจากอาจารย์ที่ศูนย์ฯ และบางส่วนที่เป็นแบบใหม่ออกแบบขึ้นมาเอง ส่วนรูปแบบปัจจุบันสามารถดัดแปลงทำได้หลายแบบ สามารถทำงานตามแบบที่ลูกค้าต้องการได้ การพัฒนารูปแบบดูจากความต้องการของลูกค้า เช่น เป็นสัตว์มงคล หรือ ปีนักษัตริย์ เป็นต้น ส่วนผู้สนใจที่ต้องการจะมีอาชีพและมาเรียนเป่าแก้ว ทางศูนย์ศิลปาชีพก็ยังคงเปิดสอน และถ้าต้องการจะทำเป็นอาชีพลงทุนประมาณ 15,000 บาท ในการซื้ออุปกรณ์ และเครื่องมือในการทำ


       “ทุกวันนี้ ผมสามารถมีรายได้ และมีอาชีพที่ยั่งยืน ไม่ต้องลำบากเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากศูนย์ศิลปาชีพ และพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ได้มีศูนย์ฝึกอาชีพแห่งนี้ขึ้นมา ทำให้คนไทยที่ยากไร้ และลำบากได้มีอาชีพ มีรายได้ที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับผม เพราะลูกศิษย์ผมหลายคนก็ร่ำรวยและมีเงินจากอาชีพตรงนี้ เพียงแต่เราต้องตั้งใจและทำมันอย่างจริงจัง ความสำเร็จก็จะมาถึงเอง”



ที่มา http://www.manager.co.th



"เป่าแก้ว" ความภูมิใจศูนย์ศิลปาชีพ สร้างรายได้ยั่งยืนเพื่อคนยากไร้

"เป่าแก้ว" ความภูมิใจศูนย์ศิลปาชีพ สร้างรายได้ยั่งยืนเพื่อคนยากไร้



  เป่าแก้ว งานหัตถกรรมที่เกิดจากฝีมือ และความสามารถเฉพาะตัว สำหรับศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพ ได้เปิดสอนหัตถกรรม ในหลายแขนง และการเป่าแก้ว เป็นหนึ่งในงานหัตถกรรมที่มีการส่งเสริมและมีการเรียนการสอนในศูนย์ฯ และได้สร้างอาชีพให้กับผู้เรียนจนสร้างเนื้อ สร้างตัวกันมาแล้วหลายต่อหลายคน และหนึ่งในนั้น คือ ผลงานการเป่าแก้ว ของ “นายอุทร แสนมี”

       นายอุทร เล่าว่า เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ เดิมอาชีพทำนา แต่เนื่องจากในอดีต การทำนานั้น รายได้ไม่ดีไม่พอเลี้ยงครอบครัว พี่สาว ชวนให้มาเรียนฝึกอาชีพที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และได้เลือกเรียนเป่าแก้ว เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ไม่ยากนัก และไม่ต้องลงทุนสูง ที่สำคัญ ชิ้นงานที่ทำออกมาน่าจะขายได้ง่าย เพราะราคาไม่สูง จึงตัดสินใจเรียนเป่าแก้ว ซึ่งพอเรียนไปได้สักระยะหนึ่ง บังเอิญฝีมือไปเข้าตาอาจารย์ผู้สอน ได้เลื่อนชั้นเป็นช่างของศิลปาชีพ ทำชิ้นงานออกขายในนามของศูนย์

       หลังจากได้เป็นช่างอยู่ระยะหนึ่ง ได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยครูในฝึกอบรมให้กับผู้มาเรียนในรุ่นต่อๆไป และได้รับเชิญไปสอนตามโรงเรี่ยนต่างหลายแห่ง ปัจจุบันมีลูกศิษย์ที่เรียน และได้ไปประกอบอาชีพและมีรายได้ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งการเรียนเป่าแก้ว เป็นพรสวรรค์ของแต่ละคน เช่นเดียวกับงานศิลปหัตถกรรมอื่นๆ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียนและทำออกมาได้ดี บางคนก็ไม่อดทน เนื่องจากมันอยู่กับความร้อน ตลอดเวลา หลายคนก็จะท้อตรงนี้ ก็ทำไม่ได้ บางคนไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ พยายามทำก็ทำออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ตามทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจ และการฝึกฝน


       สำหรับผลงานของนายอุทร เป็นหนึ่งในงานหัตถกรรมที่ทางศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ เลือกมาเป็นสมาชิก และเปิดร้านโชว์สินค้าอยู่ภายในศูนย์ฯ โดยได้รับเลือกไปโชว์ภายในศูนย์แสดงสินค้าศิลปาชีพในต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย
     
       เนื่องจากรูปแบบงานเป่าแก้ว นายอุดร นั้นมีความโดดเด่น เรื่องการใช้แก้วสี ทำให้ชิ้นงานมีสีสันที่มาจากเนื้อแก้ว ไม่ใช่การแต่งเติมสีภายนอกเหมือนกับงานเป่าแก้ว ทั่วไป และฝีมือที่ละเอียด และสวยงาม อีกทั้งรูปแบบที่หลากหลาย และราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับงานเป่าแก้วในต่างประเทศ ทำให้งานเป่าแก้ว นายอุดร เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเมืองไทย


       นายอุทร เล่าว่า หลังจากได้เข้ามาฝึกอาชีพ และได้เรียนการเป่าแก้ว ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป เพราะจากการทำนา ซึ่งมีรายได้แค่พอกิน ไปวันๆ พอได้มาเรียนและทำงานตรงนี้ ทำให้มีรายได้ เพียงพอที่จะซื้อรถ ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง และเลี้ยงครอบครัวได้ รายได้ประมาณเดือนละ 20,000 บาท ส่วนช่องทางการขายสินค้า ปัจจุบัน ทำส่งให้กับร้านที่จตุจักร และมีร้าน 2 แห่งที่ศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ และที่ตลาดก้นโคล้ง


       กลุ่มลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยว สินค้าจะขายดีมากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะนิยมซื้อไปเป็นของขวัญของฝาก รวมถึง วันแม่ วันพ่อ มีสินค้าที่ออกแบบมาต้อนรับเทศกาลด้วย ซึ่งในวันแม่ปีนี้ มีการออกแบบเป็นรูปหงส์คู่ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าซื้อไปเป็นของขวัญวันแม่กันด้วย


       ส่วนรูปแบบบางส่วนเป็นแบบที่เรียนมาจากอาจารย์ที่ศูนย์ฯ และบางส่วนที่เป็นแบบใหม่ออกแบบขึ้นมาเอง ส่วนรูปแบบปัจจุบันสามารถดัดแปลงทำได้หลายแบบ สามารถทำงานตามแบบที่ลูกค้าต้องการได้ การพัฒนารูปแบบดูจากความต้องการของลูกค้า เช่น เป็นสัตว์มงคล หรือ ปีนักษัตริย์ เป็นต้น ส่วนผู้สนใจที่ต้องการจะมีอาชีพและมาเรียนเป่าแก้ว ทางศูนย์ศิลปาชีพก็ยังคงเปิดสอน และถ้าต้องการจะทำเป็นอาชีพลงทุนประมาณ 15,000 บาท ในการซื้ออุปกรณ์ และเครื่องมือในการทำ


       “ทุกวันนี้ ผมสามารถมีรายได้ และมีอาชีพที่ยั่งยืน ไม่ต้องลำบากเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากศูนย์ศิลปาชีพ และพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ได้มีศูนย์ฝึกอาชีพแห่งนี้ขึ้นมา ทำให้คนไทยที่ยากไร้ และลำบากได้มีอาชีพ มีรายได้ที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับผม เพราะลูกศิษย์ผมหลายคนก็ร่ำรวยและมีเงินจากอาชีพตรงนี้ เพียงแต่เราต้องตั้งใจและทำมันอย่างจริงจัง ความสำเร็จก็จะมาถึงเอง”



ที่มา http://www.manager.co.th



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น