ปลูกสะเดาขาย ทำรายได้ดี
สมพร เวียงสงค์ หรือ หมู อายุ 31 ปี อยู่บ้านใน ม.5 บ.สร้างแก้ว ต.สร้างค้อ อ.ภูพาน จ.สกลนคร เปิดเผยถึงเส้นทางอาชีพการปลูกสะเดาทวาย ว่าเพราะเหตุใด ถึงเลือกที่จะทำการเกษตร ทั้งที่อายุยังน้อยและหากไปทำอาชีพอื่นก็น่าจะรุ่งกว่ากับการเป็นหนุ่มชาวสวน
โดยย้อนกลับไปเริ่มแรก สมพร จบการศึกษา ปวส.ช่างก่อสร้าง จากวิทยาลัยเทคนิคสกลนครแล้วเริ่มต้นการทำงานเกี่ยวกับการออกแบบแพ็คกิ้งเฟอร์นิเจอร์เหล็ก ทำได้สักพัก 1 ปี เลยลาออก แล้วไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ หวังส่งเงินมาทางบ้าน จะได้อยู่สุขสบาย แต่เมื่ออยู่ไปนานๆ ถึง 7 ปี รู้สึกเบื่อและอิ่มในชีวิตลูกจ้าง แม้อาจจะเงินดีแต่รู้สึกไม่อิสระ หลังจากกลับมาบ้านนอนคิดสักพัก คิดแล้วคิดอีก จึงตัดสินใจไม่กลับไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้อีกเลย เพราะรู้สึกคิดถึงบ้าน อาหารการกิน ส้มตำ ปลาร้า อร่อยๆ และตั้งใจศึกษาแนวทางเกษตรหวังสร้างอาชีพจึงรู้สึกสนใจกับการปลูกสะเดาทวาย
สำหรับการทำการตลาด เริ่มต้นทำแจกทำขายในหมู่บ้าน จากนั้นเมื่อพ่อค้าแม่ค้ารู้จัก ก็มาซื้อเองถึงสวน โดยเฉพาะการมีพืชเกษตรอื่นๆผสมผสานในสวนหลากหลาย พ่อค้าแม่ค้าก็จะโทรมาออเดอร์ไว้ ผลัดเปลี่ยนกันไปตามแต่ช่วงเวลาของแต่ละชนิด รายได้ เก็บดอกขายได้ ประมาณ 2 หมื่นบาท/ไร่/ปี รายได้จากการตอนกิ่ง กิ่งละ 60 บาท กิ่งชำถุง 80 บาท โดยปีนี้สามารถส่งขายกิ่งสะเดาไปทั่วประเทศกว่า 4,000 กิ่ง มีรายได้พอเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัว และมีอิสระ เป็นเจ้านายตัวเอง ปัจจุบันสอนให้เด็กๆในหมู่บ้านตอนกิ่งได้แล้ว โดยจะมีเด็กๆ อายุประมาณ 10-15 ปี มาช่วยในการตอนกิ่ง โดยให้รับค่าจ้างกิ่งละ 2-3 บาท ก็มีเด็กหลายคนมาทำเป็นค่าขนมไปโรงเรียนให้เด็กในหมู่บ้าน
การทำการเกษตร ไม่จำเป็นจะต้องปลูกสะเดาทวาย หรือใครอยากปลูกตามก็ไม่ว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ศึกษาให้เข้าใจ ทุกวันนี้อยู่ได้ เพราะเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ ใจรักเกษตร ไม่ต้องทำงานออฟฟิต เป็นหนุ่มบนเขา ที่ชอบจับจอบจับเสียม อยู่อย่างเรียบง่าย สะเดาไม่ต้องห่วงว่าปลูกแล้วจะไม่ได้ขาย เพราะ สะเดาทวาย หรือสะเดาทั่วไป เป็นผักเครื่องเคียงคู่กันกับอาหารเกือบทุกชนิด รสขมแต่สรรพคุณทางมีหลายชนิดรับประทานแล้วเป็นผลดีต่อสุขภาพนับได้ว่าเป็นอีกช่องทางอาชีพที่น่าส่งเสริมและสนใจ ใครสนใจอยากชมสวนหรืออุดหนุน ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 061-528-8695
การทำการเกษตร ไม่จำเป็นจะต้องปลูกสะเดาทวาย หรือใครอยากปลูกตามก็ไม่ว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ศึกษาให้เข้าใจ ทุกวันนี้อยู่ได้ เพราะเป็นหนุ่มรุ่นใหม่ ใจรักเกษตร ไม่ต้องทำงานออฟฟิต เป็นหนุ่มบนเขา ที่ชอบจับจอบจับเสียม อยู่อย่างเรียบง่าย สะเดาไม่ต้องห่วงว่าปลูกแล้วจะไม่ได้ขาย เพราะ สะเดาทวาย หรือสะเดาทั่วไป เป็นผักเครื่องเคียงคู่กันกับอาหารเกือบทุกชนิด รสขมแต่สรรพคุณทางมีหลายชนิดรับประทานแล้วเป็นผลดีต่อสุขภาพนับได้ว่าเป็นอีกช่องทางอาชีพที่น่าส่งเสริมและสนใจ ใครสนใจอยากชมสวนหรืออุดหนุน ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 061-528-8695
ที่มา http://m.matichon.co.th
ปลูกสะเดาขาย ทำรายได้ดี
วิธีปลูกผักกาดขาว ผักทำเงิน ความต้องการสูงระยะเก็บเกี่ยวสั้น
ผักกาดขาว ผักที่สามารถขายได้ทั้งปี เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดทุกๆวัน บริโภคสดได้ เป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารต่างๆได้อีกมากมาย ปลูกง่ายขึ้นได้เกือบทุกประเภทของดิน ในประเทศไทยผักกาดขาวสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ใครที่กำลังช่องทางสร้างรายได้จากอาชีพเสริม หรือเปลี่ยนหมวดอาชีพ หรือธุรกิจที่ทำอยู่ พืชผักทำเงิน ผักกาดขาว จึงน่าสนใจเก็บไว้พิจารณา ถ้าหากต้องการทำธุรกิจการเกษตร
ผักกาดขาวพันธุ์ที่นิยม ในประเทศไทยของสามารถปลูกได้เกือบทุกพื้นที่ เป็นที่นิยมบริโภคของคนไทย ผักกาดขาวในไทยที่นิยมปลูกจะมีอยู่สามชนิด คือ
1. ผักกาดขาว พันธุ์ข้าวปลียาว
2. ผักกาดขาว พันธุ์ข้าวปลีกลมแน่น
3. ผักกาดขาว พันธุ์ข้าวปลีหลวมหรือไม่ห่อปลี
วิธีการปลูกผักกาดขาว สำหรับเบื้องต้น คนที่สนใจลงมือทำได้เลย..
การเพาะต้นกล้า ผักกาดขาว ทำด้วยวิธีหว่านเมล็ดพันธุ์ พร้อมกับคลุมด้วยฟางข้าว รดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้าผักกาดขาวอายุได้ประมาณ 15 วันก็นำไปปลูกได้ สำหรับการปลูกผักกาดขาวในประมาณพื้นที่มาก เพื่อขาย การหว่านเมล็ดพันธุ์ จะใช้อัตราส่วน 200-250 กรัมต่อไร่ สำหรับใครที่ปลูกไม่มากก็สามารถคำนวณจากอัตรานี้ได้ หรือจะประมาณจากความเหมาะสมหากปลูกในพื้นที่ไม่มากเพื่อบริโภคเอง
เตรียมดินเพื่อปลุกผักกาดขาว โดยการไถให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 1-2 สัปดาห์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ถ้าทำเป็นอาชีพหลักใส่ประมาณ 2000 กิโลกรัม ต่อไร่ เคล้าให้เข้ากันกับดิน ทำแปลงปลูกกว้างยาวประมาณ 1×4 เมตร หลังจากได้ต้นกล้าจากแปลงที่เพาะไว้อายุผักกาดขาวประมาณ 15 วัน ก็สามารถนำมาปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ได้ ระยะห่างของต้นประมาณ 40-50 เซนติเมตร
การดูแลรักษาผักกาดขาว เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการน้ำมากและสม่ำเสมอ จึงต้องรดน้ำอย่างเพียงพอ ถ้าขาดน้ำผักกาดขาวจะไม่เติบโต โดยเฉพาะช่วงที่กำลังห่อหัว การใส่ปุ๋ยให้ใช้น้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้น 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 ลิตรรดทุกๆ 3 วันและใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพหลังการถอนแยก และทุกๆ 10 วันจนถึงวันเก็บเกี่ยว การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เพื่อป้องกันโรคใบด่างของผักกาดขาว ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากเชื้อ ก่อนนำเมล็ดผักไปปลูกควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่นประมาณ 50-55 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20-30 นาที ส่วนโรคเน่าคอดนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันง่ายๆโดยการหว่านเมล็ดพันธุ์ผักกาดขาวอย่าให้หนาแน่นจนเกินไป ถ้ามีหนอนเพลียมารบกวน ให้ใช้ใบสะเดาหรือเมล็ดสะเดาบด 1 กิโลกรัม ข่าแก่ 1 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม ผสมทุกอย่างแล้วนำมาตำให้ละเอียด แช่น้ำ 20 ลิตร หมักไว้ 1 คืน จากนั้นให้กรองเอาน้ำยามาผสมกับน้ำ 1: 20 พ่นช่วงเช้าเย็นทุกๆ 3 วัน ก็จะช่วยเรื่องหนอนเพลี้ยรบกวนได้
ผักกาดขาวจะเก็บเกี่ยวเมื่ออายุได้ประมาณ 45 วัน สามารถนำไปแพ็คขายหรือนำไปประกอบอาหารหรือบริโภคสดได้ สำหรับการปลุกผักกาดขาวเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริมนั้น ต้องศึกษาตลาดในพื้นที่อย่างละเอียด รวมถึงแหล่งขายต่างๆ รวมถึงการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อโอกาสที่มากขึ้น
เทรนด์ผักปลอดสารพิษกำลังมาแรง คนนิยมทานผักปลอดสาร ถ้าสมารถมารถปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี ปลูกแบบปลอดสารได้ ราคาก็จะดีกว่าผักที่ปลูกโดยใช้สารเคมี เมื่อประกอบกับการทำการตลาดที่ดี เชื่อแน่ว่าผักกาดขาวก็ทำให้รวยได้เช่นกัน เพราะคนบริโภคกันทุกวันอยู่แล้ว
ที่มา http://www.bangkoktoday.net
วิธีปลูกผักกาดขาว ผักทำเงิน ความต้องการสูงระยะเก็บเกี่ยวสั้น
ปลูกหน่อไม้ฝรั่งขาย สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน
ปลูกหน่อไม้ฝรั่งขาย สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน
หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีคุณภาพ ในประเทศไทยนิยมรับประทานแล้ว ยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ด้วย โดยเฉพาะการส่งอออกผลผลิตสดและยังเป็นพืชผักทางเลือกอีกชนิดหนึ่งของเกษตรกรที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยมีการส่งเสริมแบบครบวงจรเพราะปัจจุบันปลูกกันมามากในภาคกลางและตลาดที่สำคัญได้แก่ญี่ปุ่น รองมาคือยุโรปและเอเชีย และใน จ.เลย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เหมาะสม เกษตรกรลงมือปลูกกันมานานนับสิบปีจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยการเปิดกว้างของตลาด
นางวาทินี วันทองสังข์ บ้านเลขที่ 181/2 หมู่ 3 บ้านนาเจียง ต.โคกงาม อ.ด่านซ้าย จ.เลย เจ้าของสวนหน่อไม้ฝรั่ง ที่ปลูกมาเกือบ 10 ปีแล้วและทำรายได้เข้าครอบครัวเดือนละกว่า 4 หมื่นบาทเลยทีเดียว
เธอบอกว่า ได้เริ่มทำการไถ ปรับพื้นที่ดินของตนเองเมื่อปี 2544 ใช้เนื้อที่ 2 ไร่ ติดกับถนนดำสายโคกงาม-นาข่า อ.ด่านซ้ายฯ อันเป็นพื้นที่โล่งไม่มีน้ำท่วมขัง ทำการปรับ ทำร่อง แปลงเพาะกล้าขนาด 1 X 10 เมตร ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยมูลไก่ 30 กก.ใช้น้ำหมักชีวภาพฉีดพ่น จะไม่สารเคมีแต่อย่างใด จากนั้นได้เอาปูนขาว 1 กก./แปลงมาผสมคลุกเคล้าลงไปด้วย โดยนอกจากทำแปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่งแล้ว บริเวณใกล้ๆกันยังขุดบ่อเอาไว้เลี้ยงปลาและเอาน้ำจากบ่อมารดแปลงหน่อไม้ฝรั่งด้วย โดยทุกร่องจะมีการต่อท่อพีวีซีเพื่อสูบน้ำจากบ่อมารดหน่อไม้ด้วย
ส่วนวัสดุที่นำมาปรับปรุงดินประกอบด้วย ปุ๋ยอินทรีย์ ปูนขาว สารสกัดจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นใช้กำจัดโรค กำจัดแมลง เช่น ฤดูฝนจะมีโรคใบไหม้ แก้โดยใช้ใบยูคาลิปตัส พืช ใบสับปะรด สะเดามาหมัก 2 วันก็นำมาพ่นมาฉีดก็หาย ฤดูอื่นไม่ค่อยมีโรค ฟาง จอบ คราด ไว้ใช้ในแปลงจากนั้น นำเมล็ดมาหยอดหากมีมดหรือแมลงก็โรยด้วยปูนขาวบาง ๆจากนั้นกลบดินในร่องบางๆ ใช้ฟางข้าวคลุมทับพอประมาณ จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มในระยะแรก อย่าปล่อยให้แปลงแห้งประมาณ 10-15 วันเมื่อต้นกล้างอกก็เปิดฟางออกให้เหลือฟางบาง ๆเพื่อให้ต้นกล้าออกสะดวกให้น้ำสม่ำเสมอ การใส่ปุ๋ยก็ในระยะเจริญเติบโต หลังปลูก 1 เดือน ระยะให้ผลใส่ปุ๋ยให้มีความสมบูรณ์ ระยะฟักตัว เมื่อเก็บหน่อไม้ได้ 60 วันก็ทำการตัดแต่งและพักต้น พรวนกิน ดายหญ้า ถอนวัชพืชออกในช่วงนี้ ทำการเพาะกล้า 2 เดือนและลงปลูกในแปลง 4 เดือน ดังนั้นประมาณ 1 ปี จึงสามารถเก็บขายได้ เมื่อออกผลผลิตได้ 2 เดือน จะพัก 1 เดือน หรือ เก็บ 4 รุ่น/ปี สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเมื่ออากาศหนาวมากและอากาศร้อนจัดก็จะไม่ค่อยออกหน่อ อากาศต้องปกติ
เธอแนะนำอีกว่า การเก็บเกี่ยวควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8-1 ซม.ในปริมาณ 30%ของจำนวนต้นทั้งหมดในแปลง ทำการถอนโดยจับบริเวณโคนหน่อที่ดินกับดินแล้วรีบนำหน่อไม้ไปวางไว้ที่ร่ม ไม่ตากแดดและมีอากาศถ่ายเทสะดวก ทำความสะอาดโคนหน่อด้วยน้ำสะอาด แล้วมาเรียงให้ปลายหน่อเสมอกันแล้วตัดส่วนที่ยาวไม่เท่ากันออกและคัดเกรด รัดด้วยหนังยาง เรียงผลผลิตโดยตั้งหน่อขึ้นเพื่อป้องกันหน่องอบรรจุในตระกร้าพลาสติกที่รองด้วยแผ่นฟองน้ำสะอาดคลุมด้วยผ้าขาวบางอีกชั้นหนึ่งและรวบรวมผลผลิตป้อนตลาด
"หน่อไม้ฝรั่งที่ตลาดต้องการสูงจะต้อง หน่อตรง ไม่คดงอ หรือแคระแกร็น ปลายหน่อแน่น ไม่บาน ความยาวของหน่อ 25 ซม.โดยมีส่วนเขียวไม่น้อยกว่า 19-25 ซม. แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อว่าเข้มงวดแค่ไหนด้วย ขนาดของหน่อแต่ละเกรดมีความสม่ำเสมอ และที่สำคัญต้องสะอาด ปราศจากโรคและแมลง"วาทินี บอก
ส่วนตลาดที่เธอนำไปขายนั้น เธอบอกว่า อยู่ที่ตลาดในตัว อ.ด่านซ้าย ตลาดคอลงถมที่จัดขึ้นในท้องถิ่น ตลาดเย็น ตลาดสดและร้านค้ามารับซื้อ เมื่อก่อนนั้นส่งเข้าบริษัทฯแต่ผลผลิต ปริมาณของเราไม่เพียงพอต่อความต้องการของบริษัทฯ ด้านราคาขาย 60 บาท/กก.สำหรับหน่อใหญ่ ส่วนหน่อเล็ก 50 บาท/กก. มีรายได้วันละ 1,000 บาท หรือ 30,000- 40,000 บาท/เดือน
ที่มา http://www.komchadluek.net
ปลูกหน่อไม้ฝรั่งขาย สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน
ปลูกผักคะน้าขาย ผักทำเงินที่น่าสนใจ เพาะปลูกได้แทบทุกสภาพดิน
ปลูกผักคะน้าขาย ก็น่าสนใจ เพราะคะน้าเป็นผักยอดนิยมคนกินเยอะ เป็นผักที่ปลูกง่าย ปลูกได้เกือบทุกพื้นที่ทั่วไทยเพราะผักคะน้าขึ้นได้เกือบทุกสภาพดิน อีกทั้งคะน้ายังมีประโยชน์หลายอย่าง นำมาทำอาหารได้หลากหลาย ดังนั้นแล้วคะน้าจึงน่าจะเป็นพืชผักสวนครัวสำหรับบ้านที่มีพื้นที่เพาะปลูกควรจะมีไว้ ลดรายจ่าย ได้ผักปลอดภัย ผู้ที่ทำผลผลิตได้มากก็สามารถนำออกขายสร้างรายได้ เสริมความมั่นคงให้กับครอบครัวอีกด้วย….ดู วิธีปลูกผักคะน้า….
ผักคะน้า…ผักยอดนิยมคนกินเยอะ
คะน้า หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica alboglabra มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งนิยมปลูกกันมากในประเทศจีน ไต้หวัน มาเลเซีย ประเทศไทย เป็นผักที่มีอายุ 2 ปี แต่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน จะปลูกได้ผลดีที่สุด สามารถขึ้นได้ในสภาพดินแทบทุกชนิดที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงที่สำคัญเป็นพืชที่รับประทานได้ทั้งส่วนใบและลำต้น
คะน้า ที่นิยมปลูกนั้นมีอยู่ 3 พันธุ์ด้วย กัน คือ
1.คะน้าพันธุ์ใบกลม ซึ่งจะมีลักษณะใบกว้าง ใหญ่ ปล้องสั้น ปลายใบมนและผิวใบเป็นคลื่น เล็กน้อย
2.คะน้าพันธุ์ใบแหลม จะมีลักษณะใบแคบกว่าพันธุ์ใบกลม ปลายใบแหลม ข้อห่าง ผิวใบเรียบ
3.คะน้าพันธุ์ยอดหรือก้าน มีลักษณะใบเหมือนกับคะน้าใบแหลม แต่จำนวนใบต่อต้นมีน้อยกว่าปล้องยาวกว่า
วิธีการปลูกคะน้า
@การเตรียมดิน ไถพรวนดินลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน แล้วย่อยดินให้ละเอียดใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2,000 กิโลกรัม / ไร่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม /ไร่ ก่อนปรับดินให้เรียบ พร้อมยกแปลงสูง 20 เซนติเมตร x กว้า ง1.20 เมตร x ความยาวตามขนาดพื้นที่
วิธีการปลูกคะน้า นำฟางคลุมแปลงให้ทั่วพร้อมรดน้ำให้ชุ่มจากนั้นหว่านเมล็ดคะน้าให้ทั่วแปลง (เมล็ด 1.5-2 กิโลกรัม/ไร่) จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม เมื่อต้นกล้าอายุ 15-20 วันจึงถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์ออก โดยเว้นระยะห่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร
วิธีการดูแลรักษา คะน้า
การให้น้ำ หากต้องการให้ต้นคะน้ามีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ควรรดน้ำเช้าและเย็น เพราะคะน้าเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ
การใส่ปุ๋ย เมื่ออายุครบ 7 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หรือ 25-7-7 อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ จากนั้นเมื่ออายุครบ 10-15 วันใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ในอัตรา 30-40 กิโลกรัม/ไร่ และรดน้ำตามทันทีหลังใส่ปุ๋ยทุกครั้ง
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ควรบำรุงรักษาต้นพืชให้แข็งแรง โดยการกำจัดศัตรูพืชหากมีโรคแมลงระบาดควรใช้สารธรรมชาติหรือใช้วิธีการต่างๆ ในการกำจัด เช่น หนอนต่างๆ ให้ใช้มือจับออก ใช้สารสะเดาจากธรรมชาติผสมน้ำฉีดใต้ใบ ส่วนมด หอยทาก ให้ใช้ปูน ขาวโรยบางๆ
คะน้า วิธีการเก็บเกี่ยว
คะน้าเป็นพืชที่เติบโตไว อายุประมาณ 45-55 วัน หลังจากปลูกก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่คะน้าโตเต็มที่ ส่วนคะน้าอ่อนหรือที่เรียกว่ายอดคะน้าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงอายุประมาณ 30 วัน
การปลูกผักคะน้า ที่ BangkokToday.net เรานำมาแนะนำกันนี้ น่าจะเพียงพอ สามารถนำไปทดลองปลูกผักคะน้าสำหรับบริโภคเองในครัวเรือน สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะปลูกคะน้าขาย ก็คงต้องเก็บประสบการณ์ เทคนิคต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาด้านการหีบห่อ ให้ดูดี เก็บได้นาน ขนส่งได้สะดวก การหาตลาด การที่ทดลองปลูกทีละน้อยก่อนนั้นจะทำให้เราสามารถคาดการต้นทุน และกำไรได้ไม่ยาก รวมถึงการทำตลาดด้วย
ประโยชน์ของผักคะน้า เอาแบบสรุป ผักคะน้า มีวิตามินหลายชนิด มี เบต้าแคโรทีน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และยังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น แบบว่าใครอยากจะผวพรรณดีคะน้าก็เป็นอีกผักที่ควรทาน… แต่ก็ไม่ควรทานมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้ท้องอืดได้
ที่มา http://www.bangkoktoday.net
ปลูกผักคะน้าขาย ผักทำเงินที่น่าสนใจ เพาะปลูกได้แทบทุกสภาพดิน
ปลูกชะอมขาย ง่ายๆ ได้เงินเยอะ
พืชพรรณที่เราจะนำมากล่าวขานถึงในวันนี้เป็นพืชที่หลายๆ คนคงเคยรับประทานกันมาแล้ว เพราะมันเป็นพืชที่นำมาสร้างเมนูเด็ดที่ร้านอาหารหลายๆ ร้านยกให้เป็นเมนูแนะนำ โดยเมนูที่ว่านั้นนั่นก็คือ แกงส้มชะอมไข่ ซึ่งพืชที่นำมารังสรรค์เป็นเมนูนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกไปซะจาก ชะอม นั่นเอง
ชะอม มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โดยลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม ดังนั้นเกษตรกรจึงนิยมนำมาปลูกเพื่อเป็นเขตแนวกั้นพื้นที่ นอกจากนี้ชะอมยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้ โดยที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็ ได้แก่ ไข่ทอดชะอม หรือชะอมลวกเพื่อนำมารับมารับประทานกับน้ำพริก หรือไม่ก็แกงส้มชะอมไข่อย่างที่ได้บอกไปแล้วในช่วงแรก ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้มีเมนูหลากหลายเท่าที่ควรแต่ก็เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากในทุกภาคของประเทศไทย ดังนั้นชะอมจึงมีขายไปทั่วทุกภูมิภาคของไทยเลยทีเดียว
วิธีการปลูกชะอม
ชะอม เป็นพืชที่ปลูกง่าย โดยถ้าใช้กิ่งตอนเกษตรกรจะนิยมปลูกโดยการยกร่องแล้วขุดหลุมปลูกเพื่อป้องกันปัญหารากเน่า ซึ่งในการปลูกจะใช้ระยะห่างประมาณ 30-50 ซม. โดยให้มีระยะห่างของแถวประมาณ 1 เมตร ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกแบบแถวคู่
ทางด้านการดูแลรักษานั้นเมื่อปลูกชะอมได้ประมาณ 3 เดือน ให้รดน้ำวันเว้นวัน เพราะชะอมชอบความชื้นแต่ไม่ชอบแฉะมิฉะนั้นจะเกิดปัญหารากเน่าได้ และเมื่อชะอมเริ่มแตกยอดมาก็ให้เก็บไปขาย หลังจากนั้นมันจะแตกยอดใหม่มาเรื่อยๆ ดังนั้นต้องมีการใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุง โดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเมื่อปลูกได้ 2-3 เดือน ส่วนการกระตุ้นให้เกิดยอดอ่อนเกษตรกรจะใส่ปุ๋ยยูเรียแต่ต้องใส่ในอัตราที่น้อยร่วมกับการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักซึ่งจะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกจากความอร่อยที่เราได้รับจากชะอมแล้ว มันยังเป็นพืชผักที่มีประโยชน์เช่นกัน โดยมันเป็นพืชที่มีวิตามินเอสูง อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ชะอมยังช่วยลดความร้อนในร่างกาย มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ช่วยขับลมในกระเพาะ และมีส่วนช่วยบำรุงเส้นเอ็น ฯลฯ ที่สำคัญมันยังสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ทุกวัน จึงถือเป็นอาชีพสุจริตอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากอีกด้วย
ที่มา http://www.thaiarcheep.com
ปลูกชะอมขาย ง่ายๆ ได้เงินเยอะ
ชาวสวนกะหล่ำปลียิ้มแก้มปริ แม้เจอแล้งหนัก แต่ขายได้สูงถึง 15 บาท/กก.
เกษตรกรผู้ปลูกกะหล่ำปลีในอำเภอชื่นชม ยิ้มแก้มแทบปริ ได้ราคาถึงกิโลกรัมละ 15 บาท สูงกว่าปีก่อน 7 เท่า สร้างรายได้ไร่ละกว่า 1 แสนบาท
วันนี้ (18 ธ.ค.) นายวิจิตร อาจสอน นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอชื่นชม จ.มหาสารคาม กล่าวว่า ในเขต อ.ชื่นชม มีเกษตรกรผู้ปลูกกะหล่ำปลี 90 ราย พื้นที่ราว 100 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 10 ตัน ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน มีโรค และแมลงรบกวน โดยเฉพาะหนอนกอ ประกอบกับประสบภัยแล้ง เนื่องจากไม่มีระบบชลประทานเกษตรกรต้องขุดบ่อน้ำเป็นของตัวเอง
“แม้ผลผลิตลดลงก็ตาม แต่กลับขายได้ราคาดี โดยปีก่อนขายได้กิโลกรัมละ 2-5 บาท แต่ปีนี้ 15 บาท มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อถึงไร่ ในภาพรวมสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรมากกว่า 15 ล้านบาท”
นายวุฒิชัย สีไชยทอง เกษตรกรบ้านหนองหว้า ต.ชื่นชม อ.ชื่นชม กล่าวว่า ปลูกกะหล่ำปลีบนเนื้อที่ 1 ไร่ ซึ่งแม้ปีนี้จะแห้งแล้ง แต่ก็ดูแลเป็นอย่างดี ใช้สารเคมีน้อยมาก แค่ให้ปุ๋ยตามระยะ ช่วงกลางคืนต้องสำรวจแปลงโดยส่องไฟหาหนอนกอที่ออกหากินในช่วงกลางคืน ซึ่งปีนี้มีหนอนเยอะมาก สำหรับปีนี้คาดว่าผลผลิตน่าจะอยู่ที่ 10 ตัน ราคาขายหน้าสวนกิโลกรัมละ 15 บาท สูงกว่าปีที่ผ่าน 7 เท่า ถือว่าปีนี้ราคาดีมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 ธันว่คมที่ผ่านมา ทางอำเภอชื่นชมได้จัดงานประเพณีกะหล่ำปลีเงินล้าน มีนายนพวัชร สิงห์ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานเปิดงาน ทั้งนี้ เพื่อสืบสานประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม และสร้างความสามัคคีในชุมชน ตามคำขวัญของอำเภอที่ว่า “ชื่นชมถิ่นคนดี กะหล่ำปลีและอ้อยหวาน ลำธารห้วยสายบาตร เห็ดธรรมชาติป่าโคกข่าว กราบเจ้าหลวงปู่หิน” ภายในงานได้จัดให้มีขบวนแห่ของแต่ละตำบล ประกวดธิดากะหล่ำปลี ออกร้านผลิตภัณฑ์โอทอปของแต่ละตำบล ประกวดผลผลิตทางการเกษตร แข่งขันชกมวยทะเล เป็นต้น ซึ่งงานจะจัดไปถึงวันที่ 19 ธันวาคมนี้
ที่มา http://www.manager.co.th
ชาวสวนกะหล่ำปลียิ้มแก้มปริ แม้เจอแล้งหนัก แต่ขายได้สูงถึง 15 บาท/กก.
เกษตรกรร้อยเอ็ดปลูกฟักทองรายได้ร่วมแสน
เกษตรกรร้อยเอ็ด รวมกลุ่มปลูกฟักทอง พืชใช้น้ำน้อย สร้างรายได้ 80,000 - 100,000 บาทต่อไร่
นายเสน่ห์ รัตนาภรณ์ เกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า ได้ส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ในพื้นที่ ตำบลหนองไผ่ อำเภอธวัชบุรี ตำบลขี้เหล็ก ตำบลโพนเมือง อำเภออาจสามารถ และพื้นที่ทั่วไปในเขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันปลูกฟักทอง
ใช้เวลาในการปลูกเพียง 75 - 90 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตออกจำหน่ายได้ ในกิโลกรัมละ 5 - 20 บาท โดยเฉพาะเกษตรกรบ้านดงบัง-สนามชัย ตำบลโพนเมือง มีการปลูกแบบเหลื่อมฤดูกาล คือ ปลูกระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ได้ผลผลิตออกสู่ตลาด ช่วงเดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม เป็นที่ต้องการของตลาดสูง
จำหน่ายได้ราคากิโลกรัมละ 15 - 20 บาท หนึ่งไร่ 4,000 - 5,000 กิโลกรัม สร้างรายได้ 80,000 - 100,000 บาทต่อไร่ และราคาจะลดลง ช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม เนื่องจากมีผลผลิตเป็นจำนวนมาก ขณะที่ นายเพชร และ นางอุไร เกษตรกรผู้ปลูกฟักทอง ระบุว่า ฟักทองให้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ตนเองจึงเก็บฟักทองเกรดเอไปขาย กิโลกรัมละ 10 บาท ส่วนฟักทองตกเกรด หรือ ฟักทองคละ กิโลกรัมละ 5 บาท
ซึ่งทำให้มีรายได้เสริมในฤดูแล้งนี้ และหากท่านผ่านเส่นทางสายร้อยเอ็ด-อำเภออาจสามารถ เข้าเขตตำบลหนองไผ่ บ้านก้างปลา ไปจนถึงเขตตำบลขี้เหล็ก สามารถแวะซื้อผลผลิตฟักทอง จากเกษตรกรได้ หรือต้องการสั่งซื้อ สามารถติดต่อโดยตรง ที่ กำนัน สมชาย อันทะไชย บ้านก้างปลา ตำบลหนองไผ่
ที่มา http://www.innnews.co.th
เกษตรกรร้อยเอ็ดปลูกฟักทองรายได้ร่วมแสน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
